วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

แปดริ้ว



   เดือนมิถุนายน 2552 ตอนนั้น ผมอายุ 9 เดือน 
ได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวจังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งไป
พร้อมกับคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า ได้ยินคุณปู่พูดว่า 
ไปเที่ยวแปดริ้วผมก็เกิดความสงสัยว่าทำไมฉะเชิงเทรา 
จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า แปดริ้ว อยากจะถามคุณปู่ เหมือนกันว่า 
มันมีที่มาที่ไปของชื่อนี้อย่างไร แต่ก็ได้แค่มองหน้าคุณปู่ 
เพราะผมยังพูดไม่ได้ ...เหมือนคุณปู่  จะรู้ว่าผม กำลัง
สงสัยอยู่  จึงได้อธิบายขยายความว่า  แปดริ้ว มาจาก
ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำบางปะกงที่ไหลผ่านจังหวัดนี้
  ความว่า เมื่อก่อนปลาช่อนในแม่น้ำนี้ตัวโตมาก ถึงขนาดว่า
เมื่อนำมาประกอบอาหารสามารถแล่เนื้อได้ถึงแปดริ้ว คุณปู่ 
ไม่ได้พาผมไปหาปลาช่อนตัวโตหรอกนะ   จะไปเที่ยววัดชื่อดัง  
และสักการะหลวงพ่อ  ที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์


 
วัดโสธรวนารามวรวิหาร
         หรือวัดหลวงพ่อโสธร  ที่โด่งดังและมีผู้คนศรัทธามากมาย เราไปที่นั่นวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันทำงาน แต่
คุณพ่อ คุณแม่ ลา พาครอบครัวคุณตาเจริญ และน้าปุ้ม ที่มาจากอุดรไปด้วย  มีผู้คนจำนวนมากมาไหว้พระ กลิ่นธูป ควันเทียน
ตลบอบอวนไปทั่วทั้งศาลา คุณแม่ ต้องอุ้มผมหลบถอยไปให้ห่างๆ เพราะเขาบอกว่าควันธูปเป็นอันตราย
                 คุณปู่ เล่าว่า ตำนานหลวงพ่อโสธรย้อนยุคไปตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย มีความว่า พระพุทธรูป 3 องค์ ลอยมาตาม
แม่น้ำบางปะกง  เมื่อชาวบ้านเห็นก็พยายามนำขึ้นมาบูชา  แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะดูเหมือนว่าแต่ละองค์จะขึ้นฝั่งเฉพาะจุด
ที่ท่านอยากประดิษฐานอยู่  สำหรับหลวงพ่อโสธรนั้น ลอยมาถึงวัดนี้ที่เดิมชื่อว่าวัดหงส์ และเปลี่ยนชื่อมาหลายครั้ง
                หลวงพ่อโสธรนั้นขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์นัก  โดยเฉพาะการคุ้มครองให้หายเจ็บไข้   จึงมีผู้คนจากทั่วสารทิศ เดินทางมา
สักการะอย่างมากมายอยู่เป็นประจำไม่ได้ขาด  เที่ยววัดนี้จึงให้ประสบการณ์แปลกใหม่  ได้เห็นความศรัทธา ความเชื่อของคน
เรา ได้เห็นการฟ้อนรำแก้บนหรือขอพรพระ ได้เห็นเครื่องเซ่นหลากหลายโดยเฉพาะหัวหมูที่เด็กอย่างผมแอบมองด้วยความงง
และได้รู้ว่าไข่ไก่เป็นของไหว้ที่ได้รับความนิยมสูงสุด   เพราะผู้ศรัทธาจำนวนมากเอาไข่ใส่ตะกร้า  ใส่ลัง ใส่ถุง หรือใส่ถาดมาไหว้พระ  คุณปู่ แอบไปถามเจ้าหน้าที่จึงทำให้รู้ว่าจำนวนไข่ต้องลงท้ายด้วยเลข 9  จึงจะถูกตำรา



อุโบสถใหม่
              อยู่บริเวณใกล้กัน   มีอุโบสถหลังใหม่  ที่เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อไม่นานมานี้เอง   สร้าง
โดยใช้ศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ประยุกต์ที่สวยงามมาก   ที่นี่ไม่อนุญาตให้จุดธูป   จุดเทียน
นำดอกไม้เข้าไปไหว้เฉยๆ ก่อนจะเข้าไปในพระอุโบสถจะต้องไปถอดรองเท้าเก็บที่ชั้นวางรองเท้า  แลกกับบัตร  2  ชุด  ชุดหนึ่งเสียบไว้กับรองเท้า  อีกชุดหนึ่งเก็บไว้กับตัว   เป็นการป้องกันรองเท้าหาย  หรือการสับเปลี่ยนรองเท้าที่มีลักษณะคล้ายกัน  และความเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย  สำหรับคนที่แต่งกายไม่สุภาพ  เช่น  สวมกางเกงขาสั้น  กระโปงสั้น เสื้อสายเดี่ยว โดยเฉพาะผู้หญิง ต้องไปเปลี่ยนชุดกับเจ้าหน้าที่ทางวัดก่อนวันที่ไปนั้น คุณแม่ น้าปุ้มน้าจ๋า ก็ต้องไปเปลี่ยนชุด เป็นชุดคุมสีเหลือง
           ภายในตั้งแต่พื้นแกรนิตที่ทำเป็นรูปสัตว์หลายชนิด เช่น เต่า ปลา และลวดลายบอกเล่าตำนานหลวงพ่อโสธรลอยน้ำ
ปรากฏเป็นภาพที่สวยงาม  ไปถึงยอดมณฑปที่เป็นยอดฉัตร 5 ชั้น  ประดับทองคำแท้หนักถึง 77  กิโลกรัม (จากประวัติการ
ก่อสร้างที่บันทึกไว้ คุณปู่ อ่านมาเล่าให้ฟัง)  ใครได้มาเยือนพระอุโบสถแห่งนี้ จะเพลินกับการชมสุดยอดฝีมือช่างในทุกจุด
ในอาคารเย็นสบาย ผู้คนไม่แออัด เนื่องจากว่าไม่สามารถนำของมาเซ่นไหว้ และทำพิธีในนี้ได้
           เมืองแปดริ้วก็คงมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง  มีของกินที่อร่อย และอีกมากมาย  เขาเล่าว่า(ไม่ใช่คุณปู่หรอก)ช่วงปลายปี-ต้นปี จะมีนักท่องเที่ยวนิยมลงเรือไปชมปลาโลมสีชมพู ซึ่งจะมาปรากฏให้เห็นในแม่น้ำบางปะกงนี้ เนื่องจากว่าเป็น
การไปเที่ยวแบบไป-กลับ จึงได้เที่ยวแต่ที่วัดอย่างเดียว







 วัดหงษ์ทอง หรือ วัดกลางน้ำ ตั้งอยู่ที่ อำเภอบางปะกง จังหวัดฉำเชิงเทรา ในบริเวณพื้นที่ชายทะเลที่เป็นป่าชายเลน มีทางเดินเชื่อมจากบริเวณวัดที่ชายฝั่งไปยังเจดีย์ และอุโบสถซึ่งอยู่ในทะเล เจดีย์มี 5 ชั้น



 ภายในเจดีย์ มีภาพวาดเกี่ยวกับพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ไทย และประดิษฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ ส่วนชั้นบนสุดเป็นเจดีย์สีทองอร่ามบรรจุพระอรหันต์ธาตุ สามารถมองเห็นทัศนียภาพท้องทะเลและแผ่นดินในมุมสูงได้สวยงาม ทางเดินที่ทอดยาวไปในทะเลไปยัง “พระธาตุคงคามหาเจดีย์” ระหว่างทางเดินจะมีป้ายบอกทาง และมีข้อ ความและคติเตือนใจให้อ่านเล่นเพลินๆอีกด้วย จุดกึ่งกลางของทางเดินวัดหงษ์ทอง มีรูปปั้นพระอภัยมณี มีนางยักษ์ พระอภัย และตัวละครอีกหลายตัวตามวรรณคดี โดยมีสะพานไม้รอบๆ ให้สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้